google.com, pub-7156051143880097, DIRECT, f08c47fec0942fa0

วันพุธที่ 10 กรกฎาคม พ.ศ. 2567

สรรพคุณของเห็ด Phellinus igniarius ที่น่าสนใจ

 สรรพคุณของเห็ด Phellinus igniarius ที่น่าสนใจเพิ่มเติม โดยอ้างอิงจากงานวิจัยทางวิทยาศาสตร์

1. สรรพคุณต้านมะเร็ง (Anticancer Properties):

กลไกการออกฤทธิ์:

กระตุ้นระบบภูมิคุ้มกัน: สาร Polysaccharides เช่น Beta-glucans ช่วยกระตุ้นเซลล์ภูมิคุ้มกัน ให้ทำงานอย่างมีประสิทธิภาพ ในการทำลายเซลล์มะเร็ง

ยับยั้งการเจริญเติบโต: สาร Triterpenoids บางชนิด ยับยั้งการเจริญ และ การแพร่กระจาย ของเซลล์มะเร็ง
ชักนำให้เซลล์มะเร็งตาย: สารสกัดบางชนิด อาจกระตุ้นให้เซลล์มะเร็ง เข้าสู่กระบวนการ Apoptosis (การตายของเซลล์แบบปกติ)
งานวิจัย: มีงานวิจัย in vitro (ในหลอดทดลอง) และ in vivo (ในสัตว์ทดลอง) ที่แสดงให้เห็นถึงฤทธิ์ของสารสกัดจาก Phellinus igniarius ต่อเซลล์มะเร็งหลายชนิด เช่น มะเร็งปอด มะเร็งเต้านม มะเร็งตับ มะเร็งลำไส้
ข้อควรระวัง: ยังต้องศึกษาวิจัยในมนุษย์เพิ่มเติม เพื่อยืนยันประสิทธิภาพ และ ความปลอดภัย

2. สรรพคุณอื่นๆ:

ต้านอนุมูลอิสระ (Antioxidant): สาร Polyphenols ในเห็ด ช่วยปกป้องเซลล์จากอนุมูลอิสระ ซึ่งเป็นสาเหตุของโรคเรื้อรัง เช่น โรคหัวใจ และ มะเร็ง

ต้านการอักเสบ (Anti-Inflammatory): สารสกัด อาจช่วยลดการอักเสบ ซึ่งเป็นสาเหตุของโรค เช่น ข้ออักเสบ
ลดระดับน้ำตาลในเลือด (Antidiabetic Potential): งานวิจัยบางชิ้น พบว่า สารสกัดอาจช่วยควบคุมระดับน้ำตาล
ต้านไวรัส (Antiviral): มีงานวิจัยเบื้องต้น ที่พบว่า สารสกัด อาจมีฤทธิ์ยับยั้งไวรัส

ข้อควรตระหนัก:

ไม่ใช่ยาวิเศษ: เห็ด Phellinus igniarius ไม่สามารถรักษาโรคได้

งานวิจัยยังมีจำกัด: จำเป็นต้องศึกษาวิจัยเพิ่มเติม
ปรึกษาแพทย์: ก่อนใช้ ควรปรึกษาแพทย์ หรือ ผู้เชี่ยวชาญ


...............................................................

สูตรดองเห็ด Phellinus igniarius กับวอดก้า องุ่น และ น้ำผึ้ง

สูตรดองเห็ด Phellinus igniarius กับวอดก้า องุ่น และ น้ำผึ้ง สำหรับขวดขนาด 1 ขวด (ประมาณ 700 มิลลิลิตร) กันค่ะ

ส่วนผสม:

เห็ด Phellinus igniarius แห้ง: 50 - 80 กรัม (ปรับได้ตามความชอบ ถ้าชอบเข้มข้นใส่เยอะหน่อย)

วอดก้า (ไม่มีสี ไม่มีกลิ่น): 1 ขวด (700 มิลลิลิตร)
องุ่นไร้เมล็ด: 100 - 150 กรัม (ประมาณ 1 กำมือ)
น้ำผึ้งแท้: 1-2 ช้อนโต๊ะ (ชิมรสชาติ และ ปรับเพิ่ม/ลด ได้)

วิธีทำ:

ล้างเห็ดให้สะอาด พักให้สะเด็ดน้ำ

ล้างองุ่น ผ่าครึ่ง หรือ บีบเมล็ดออก
นำเห็ด องุ่น และ น้ำผึ้ง ใส่ลงในขวดโหลแก้วที่สะอาด และ แห้งสนิท
เทวอดก้าลงไป ให้ท่วมส่วนผสม
ปิดฝาขวดให้แน่น เขย่าเบาๆ เพื่อให้ส่วนผสมเข้ากัน
เก็บในที่แห้งและเย็น เป็นเวลาอย่างน้อย 1-3 เดือน จึงนำมารับประทาน

ข้อแนะนำ:

ก่อนบรรจุขวด ควรชิมรสชาติของน้ำดอง และ ปรับแต่งตามชอบ

ช่วง 1-2 สัปดาห์แรก ควรกลับขวด หรือ เขย่าเบาๆ วันละครั้ง เพื่อให้ส่วนผสมเข้ากันดี

หมายเหตุ:

สูตรนี้เป็นเพียงแนวทาง คุณสามารถปรับเปลี่ยนปริมาณ ตามความชอบได้


....................................................................

การปิดฝาขวด สำหรับดองเห็ด Phellinus igniarius กับวอดก้า องุ่น และน้ำผึ้ง ควรปิดฝาให้สนิทตลอดเวลา

เหตุผล:

ป้องกันการระเหย: แอลกอฮอล์ในวอดก้า มีคุณสมบัติระเหยง่าย การปิดฝาไม่สนิท จะทำให้แอลกอฮอล์ระเหยออกไป ส่งผลต่อรสชาติ และ ความเข้มข้น

ป้องกันการปนเปื้อน: การเปิดฝาบ่อยๆ อาจทำให้ อากาศ ความชื้น และ สิ่งสกปรก เข้าไปปนเปื้อน
รสชาติ และ คุณภาพ: การปิดฝาสนิท ช่วยคงรสชาติ กลิ่น และ คุณภาพ ของส่วนผสม

ข้อแนะนำ:

เลือกภาชนะที่ปิดสนิท: ใช้ขวดแก้ว หรือ โหลแก้ว ที่มีฝาปิดสนิท

ตรวจสอบฝา: ก่อนปิดฝา ควรตรวจสอบให้แน่ใจว่า ฝาอยู่ในสภาพดี ไม่มีรอยแตก หรือ รั่ว
ไม่เขย่าแรงเกินไป: ในช่วงแรก ที่ต้องการให้ส่วนผสมเข้ากัน ให้เขย่าเบาๆ ก็เพียงพอ
การปิดฝาสนิท เป็นสิ่งสำคัญ ในการดอง เพื่อให้ได้รสชาติ และ คุณภาพที่ดีที่สุด
........................................

หลังจากดองครบ 3 เดือน ไม่จำเป็นต้องเอากากเห็ด และ องุ่นออก ค่ะ สามารถเก็บไว้ในขวดได้เลย

เหตุผล:

รสชาติ และ กลิ่น: กากเห็ด และ องุ่น ยังคงมีรสชาติ และ กลิ่น ที่สามารถละลายออกมาได้อีก

สารสำคัญ: อาจยังมีสารสำคัญ บางส่วน ที่ยังคงอยู่ในกากเห็ด
ความสะดวก: ไม่ต้องเสียเวลา และ ยุ่งยาก ในการกรอง

ข้อแนะนำ:

การริน: เวลาจะดื่ม ให้รินเฉพาะส่วนที่เป็นน้ำ โดยเทเบาๆ

การกรอง: ถ้าไม่ชอบ หรือ กังวลเรื่องตะกอน สามารถกรองด้วยผ้าขาวบาง ก่อนดื่มก็ได้
การเก็บรักษา: หลังจากเปิดขวดแล้ว ควรเก็บในตู้เย็น และ ควรดื่มให้หมดภายใน 1-2 เดือน

สรุป:

การเอากากออกหรือไม่ ขึ้นอยู่กับความชอบ และ ความสะดวก ของคุณ



...........................................................................

การรับประทานเห็ด Phellinus igniarius ที่ดองกับวอดก้า องุ่น และน้ำผึ้ง ไม่มีกฎเกณฑ์ตายตัว ขึ้นอยู่กับความชอบ และ วัตถุประสงค์

ปริมาณที่แนะนำ:

เริ่มต้น: ดื่มครั้งละ 1-2 ช้อนชา (ประมาณ 5-10 มิลลิลิตร)

สังเกตอาการ: หลังจากดื่มแล้ว ให้สังเกตอาการของร่างกาย
ค่อยๆ เพิ่มปริมาณ: ถ้าไม่มีอาการผิดปกติ สามารถค่อยๆ เพิ่มปริมาณ ตามความเหมาะสม

ช่วงเวลาที่ดื่ม:

ก่อนอาหาร: อาจช่วยเรียกน้ำย่อย

หลังอาหาร: อาจช่วยในการย่อยอาหาร
ก่อนนอน: บางคนเชื่อว่า ช่วยให้ผ่อนคลาย นอนหลับสบาย

จำนวนมื้อต่อวัน:

เริ่มต้น: 1 มื้อต่อวัน

ค่อยๆ เพิ่ม: สามารถเพิ่มเป็น 2-3 มื้อต่อวัน ได้ ขึ้นอยู่กับความต้องการ และ การตอบสนองของร่างกาย

ข้อควรระวัง:

ไม่ดื่มเกินปริมาณ: เนื่องจากมีแอลกอฮอล์

ไม่ดื่ม หาก:
แพ้แอลกอฮอล์
กำลังตั้งครรภ์ หรือ ให้นมบุตร
มีโรคประจำตัว เช่น โรคตับ โรคไต
กำลังใช้ยาบางชนิด

ปรึกษาแพทย์ หรือ ผู้เชี่ยวชาญ: ก่อนรับประทาน โดยเฉพาะ หากมีโรคประจำตัว หรือ กำลังใช้ยาอื่นๆ

ที่สำคัญที่สุด คือ การฟังเสียงร่างกาย และ ปรับการรับประทาน ให้เหมาะสมกับตัวเอง

............................................







การใส่ผลไม้เล็กน้อย เช่น องุ่น หรือ ลูกท้อ ลงไปดองกับเห็ด Phellinus igniarius

 การใส่ผลไม้เล็กน้อย เช่น องุ่น หรือ ลูกท้อ ลงไปดองกับเห็ด Phellinus igniarius และวอดก้า เป็นการเพิ่มมิติใหม่ให้กับการดอง ทั้งรสชาติ กลิ่น และสีสัน

ข้อดีของการใส่ผลไม้:

รสชาติกลมกล่อม: ความหวานอมเปรี้ยวจากองุ่น หรือลูกท้อ จะช่วยลดความขมของเห็ด และ เพิ่มความกลมกล่อม

กลิ่นหอม: ให้กลิ่นหอมสดชื่น
สีสันสวยงาม: ทำให้น่ารับประทานมากยิ่งขึ้น

ข้อแนะนำ:

เลือกผลไม้สดใหม่: ควรเลือกองุ่น หรือ ลูกท้อ ที่สด สะอาด ไม่มีรอยช้ำ

ปริมาณ: ใส่ผลไม้ในปริมาณเล็กน้อย ประมาณ 10-20% ของน้ำหนักเห็ด เพื่อไม่ให้รสชาติ และ กลิ่น โดดเกินไป

การเตรียมผลไม้:

องุ่น: ล้างให้สะอาด ผ่าครึ่ง หรือ บีบเมล็ดออก

ลูกท้อ: ล้างให้สะอาด ปอกเปลือก หั่นชิ้นพอดีคำ
ระยะเวลาการดอง: อาจใช้เวลานานกว่าการดองแบบเดิมเล็กน้อย สังเกตสี และ กลิ่น เป็นหลัก

ข้อควรระวัง:

ความสะอาด: ล้างผลไม้ให้สะอาด เพื่อป้องกันการเน่าเสีย

การเลือกผลไม้: ผลไม้บางชนิด อาจไม่เหมาะกับการดอง เช่น ผลไม้ที่มีน้ำมากเกินไป
การชิม: ก่อนบรรจุขวด ควรชิมรสชาติ และ ปรับแต่งตามชอบ

การทดลอง และ การผสมผสานรสชาติ เป็นเสน่ห์ของการทำอาหาร ขอให้สนุกกับการสร้างสรรค์ และ ได้รสชาติที่ถูกใจ


................................

การดองเห็ด Phellinus igniarius กับวอดก้าที่ไม่มีสี ไม่มีกลิ่น

 การดองเห็ด Phellinus igniarius กับวอดก้าที่ไม่มีสี ไม่มีกลิ่น ทำได้

ข้อดีของการใช้วอดก้าที่ไม่มีสี ไม่มีกลิ่น:
รสชาติสะอาด: ไม่รบกวนรสชาติ และ กลิ่น เฉพาะตัวของเห็ด
สีสันเป็นธรรมชาติ: คงสีของเห็ดไว้ได้
เหมาะสำหรับผู้ที่ไม่ชอบกลิ่นแรง: เช่น กลิ่นของเหล้าขาว

ข้อแนะนำ:

เลือกวอดก้าคุณภาพดี: ควรเลือกวอดก้าที่ผลิตจากวัตถุดิบคุณภาพดี และ ผ่านกระบวนการผลิตที่ได้มาตรฐาน

ความเข้มข้น: ควรเลือกวอดก้าที่มีความเข้มข้นสูง อย่างน้อย 40% ขึ้นไป
อัตราส่วน: แนะนำให้ใช้อัตราส่วน เห็ด 1 ส่วน ต่อ วอดก้า 3-5 ส่วน
การเก็บรักษา: เก็บในภาชนะแก้วที่สะอาด ปิดฝาให้สนิท ในที่แห้งและเย็น
ระยะเวลาการดอง: อย่างน้อย 1-3 เดือน

ข้อควรระวัง:

ควรศึกษาข้อมูลเพิ่มเติม เกี่ยวกับวิธีการดอง และ ปริมาณที่เหมาะสม ก่อนลงมือทำ

ไม่ควรรับประทาน หากมีโรคประจำตัว หรือ กำลังใช้ยา ที่ต้องห้าม หรือ ควรระวัง การดื่มแอลกอฮอล์

การดองเห็ดกับวอดก้า เป็นวิธีการถนอมอาหาร และ สกัดสารสำคัญ จากเห็ด แบบง่ายๆ ที่คุณสามารถทำเองได้ที่บ้าน ขอให้สนุกกับการทดลอง และ ได้รสชาติที่ถูกใจ
😊.....................................


...........................................

สามารถนำ Phellinus igniarius ไปดองกับเหล้าได้

 การที่เห็ด Phellinus igniarius สามารถสกัดด้วยเอทานอล (Ethanol) ได้ หมายความว่า เราสามารถนำไปดองกับเหล้าได้เช่นกัน

การดองเห็ดกับเหล้า เป็นวิธีการถนอมอาหาร และ สกัดสารสำคัญ จากธรรมชาติ ที่ทำกันมาแต่โบราณ โดยเฉพาะในวัฒนธรรมเอเชีย

ข้อดีของการดองเห็ดกับเหล้า:

สกัดสารสำคัญ: แอลกอฮอล์ในเหล้า ช่วยดึงสารสำคัญ เช่น สารต้านอนุมูลอิสระ และ สารออกฤทธิ์อื่นๆ ออกมาจากเห็ดได้

ยืดอายุการเก็บรักษา: แอลกอฮอล์ ช่วยยับยั้งการเจริญเติบโตของเชื้อจุลินทรีย์
รสชาติ และ กลิ่น: ได้รสชาติ และ กลิ่น เฉพาะตัว จากเห็ด และ เหล้า ที่ผสมผสานกัน

ข้อควรระวัง:

ความเข้มข้นของแอลกอฮอล์: ควรใช้เหล้าที่มีความเข้มข้นสูง เช่น เหล้าขาว

ความสะอาด: ภาชนะ และ อุปกรณ์ ต้องสะอาด ปราศจากเชื้อ
ระยะเวลาการดอง: อย่างน้อย 1-3 เดือน

การบริโภค: ควรบริโภคในปริมาณที่พอเหมาะ เนื่องจากมีแอลกอฮอล์ผสมอยู่

หมายเหตุ:

การดองเห็ดกับเหล้า เป็นเพียงวิธีการหนึ่ง ในการบริโภค

ไม่ควรดื่ม หากมีโรคประจำตัว หรือ กำลังใช้ยา ที่ต้องห้าม หรือ ควรระวัง การดื่มแอลกอฮอล์

.....................................
.....................................

การนำเห็ด Phellinus igniarius ไปทำสเปรย์ดราย (Spray drying)

 การนำเห็ด Phellinus igniarius ไปทำสเปรย์ดราย (Spray drying) นั้น ทำได้ และเป็นเทคนิคที่น่าสนใจมากๆ เพื่อแปรรูปเห็ดชนิดนี้ ให้เป็นผง เพื่อความสะดวกในการเก็บรักษา และ ประยุกต์ใช้ต่อไป

ขั้นตอนการทำสเปรย์ดรายเห็ด Phellinus igniarius:

การเตรียมสารสกัด:

ทำความสะอาด: ล้างเห็ดให้สะอาด

สกัดสาร: เลือกวิธีการสกัด เช่น การสกัดด้วยน้ำ การสกัดด้วยเอทานอล เพื่อให้ได้สารสำคัญตามต้องการ
กรอง: กรองสารสกัด เพื่อกำจัดเศษเห็ด

การทำสเปรย์ดราย:

ฉีดพ่นสารสกัด: นำสารสกัดที่เตรียมไว้ ไปฉีดพ่นเป็นละอองฝอย เข้าไปในห้องอบแห้งของเครื่องสเปรย์ดราย

การอบแห้ง: ภายในห้องอบแห้ง จะมีลมร้อน ทำให้ละอองของเหลวแห้งอย่างรวดเร็ว กลายเป็นผงละเอียด
แยกผง: ผงเห็ดที่แห้งแล้ว จะถูกแยกออกจากอากาศ

ข้อดีของการทำสเปรย์ดราย:

คงคุณค่า: ช่วยรักษา รสชาติ กลิ่น สี และ สารสำคัญ ของเห็ดได้ดี

ผงละเอียด ละลายง่าย: สะดวกต่อการนำไปใช้ เช่น ผสมในอาหาร เครื่องดื่ม
ยืดอายุการเก็บรักษา: ผงเห็ดที่ผ่านการสเปรย์ดราย จะมีความชื้นต่ำ ช่วยยับยั้งการเจริญเติบโตของเชื้อรา และ แบคทีเรีย

ข้อควรพิจารณา:

ต้นทุน: การลงทุนเครื่องสเปรย์ดราย ค่อนข้างสูง

เทคนิค: ต้องอาศัยความเชี่ยวชาญ ในการควบคุม อุณหภูมิ และ อัตราการไหล ของเครื่องสเปรย์ดราย

สรุป:

การทำสเปรย์ดราย เป็นเทคนิคที่น่าสนใจ ในการแปรรูปเห็ด Phellinus igniarius เพื่อเพิ่มมูลค่า และ ต่อยอดไปสู่ผลิตภัณฑ์ต่างๆ ได้หลากหลาย
😊

การต้มเห็ดกระถินพิมาน (Phellinus igniarius)

 การต้มเห็ดกระถินพิมาน (Phellinus igniarius) เพื่อบริโภคแบบโบราณนั้น ทำได้ และเป็นวิธีที่นิยมในหลายวัฒนธรรม โดยเฉพาะในจีน ญี่ปุ่น และเกาหลี ซึ่งมักนำมาต้มเป็นชา หรือ ตุ๋นกับอาหารต่างๆ


วิธีการต้มแบบง่ายๆ:

  • เตรียมเห็ด: ทำความสะอาดเห็ดที่ตากแห้งแล้ว โดยปัดฝุ่น หรือ เช็ดด้วยผ้าสะอาด
  • ต้มน้ำ: ใส่น้ำสะอาดลงในหม้อ โดยใช้น้ำประมาณ 3-4 ลิตร ต่อเห็ด 10-15 กรัม
  • ใส่เห็ด: เมื่อน้ำเดือด ใส่เห็ดลงไป
  • หรี่ไฟตุ๋น: ลดไฟลง ปิดฝาหม้อ ตุ๋นต่ออย่างน้อย 1-2 ชั่วโมง เพื่อให้สารสำคัญในเห็ดละลายออกมา
  • กรองน้ำ: เมื่อครบเวลา กรองเอาน้ำดื่ม สามารถเติมน้ำตาล หรือ น้ำผึ้ง เล็กน้อยเพื่อปรุงรส

ข้อควรระวัง:

  • รสชาติ: เห็ดชนิดนี้มีรสชาติค่อนข้างขม
  • การแพ้: บางคนอาจแพ้เห็ด ควรเริ่มต้นด้วยปริมาณน้อยๆ และสังเกตอาการ
  • ปริมาณ: ไม่ควรรับประทานมากเกินไป
  • ปรึกษาแพทย์แผนจีน: เพื่อขอคำแนะนำ เกี่ยวกับปริมาณที่เหมาะสม และ ระยะเวลาในการบริโภค

ข้อควรพิจารณาเพิ่มเติม:

  • แหล่งที่มาของเห็ด: ควรเลือกเห็ดจากแหล่งที่เชื่อถือได้ ปลอดสารพิษ
  • ความสะอาด: ล้างเห็ดให้สะอาดก่อนนำมาต้ม
  • การเก็บรักษา: ควรเก็บเห็ดแห้งในภาชนะที่ปิดสนิท ในที่แห้งและเย็น

แม้การต้มแบบโบราณ จะเป็นวิธีที่ทำได้ แต่ควรคำนึงถึงข้อควรระวัง และ ปรึกษาผู้เชี่ยวชาญ เพื่อความปลอดภัย และ ประสิทธิภาพสูงสุด




.........................................
............................................

สารสำคัญในเห็ดกระถินพิมาน ที่อาจมีส่วนช่วยยับยั้งเซลล์มะเร็ง

สารสำคัญในเห็ดกระถินพิมาน ที่อาจมีส่วนช่วยยับยั้งเซลล์มะเร็ง:

  • Polysaccharides (โพลีแซคคาไรด์): เช่น beta-glucans (เบต้ากลูแคน) มีงานวิจัยบ่งชี้ว่า ช่วยกระตุ้นระบบภูมิคุ้มกัน และ ยับยั้งการเจริญเติบโตของเซลล์มะเร็งบางชนิด
  • Triterpenoids (ไตรเทอร์ปินอยด์): มีฤทธิ์ต้านการอักเสบ และ ต้านมะเร็ง
  • Natural Steroids (เนเชอรัลสเตอรอยด์): สารบางชนิดในกลุ่มนี้ แสดงฤทธิ์ต้านมะเร็งในงานวิจัย

งานวิจัยที่เกี่ยวข้องกับมะเร็ง:

  • มีงานวิจัยในหลอดทดลองและสัตว์ทดลอง ที่พบว่า สารสกัดจากเห็ดกระถินพิมาน มีฤทธิ์ต่อเซลล์มะเร็งหลายชนิด เช่น มะเร็งปอด มะเร็งตับ มะเร็งเต้านม

สรรพคุณอื่นๆ:

  • สร้างเม็ดเลือด: งานวิจัยบางชิ้นชี้ว่า สารสกัดจากเห็ด อาจช่วยกระตุ้นการสร้างเม็ดเลือดได้
  • โรคเบาหวาน: อาจช่วยลดระดับน้ำตาลในเลือด
  • ภูมิแพ้ ไข้หวัดใหญ่: อาจช่วยบรรเทาอาการ
  • แผลพุพอง ผื่นคัน ไขข้ออักเสบ: อาจช่วยลดการอักเสบ

สิ่งที่ต้องระวัง:

  • งานวิจัยส่วนใหญ่ยังอยู่ในขั้นต้น: ยังต้องศึกษาวิจัยในมนุษย์เพิ่มเติม เพื่อยืนยันประสิทธิภาพ ความปลอดภัย และ ปริมาณที่เหมาะสม
  • ไม่ควรมองว่าเป็นยาวิเศษ หรือ ใช้แทนการรักษาแผนปัจจุบัน:
  • ควรปรึกษาแพทย์ก่อนใช้: โดยเฉพาะผู้ที่มีโรคประจำตัว หรือ กำลังใช้ยาอื่นๆ





บทความวิจัย ชื่อบทความ "Anticancer effects of Phellinus igniarius extracts on human lung cancer cell lines"

 บทคัดย่อ (abstract) ของบทความวิจัย ชื่อบทความ "Anticancer effects of Phellinus igniarius extracts on human lung cancer cell lines"

บทคัดย่อ

ฤทธิ์ต้านมะเร็งของสารสกัดจากเห็ด Phellinus igniarius ต่อเซลล์มะเร็งปอดของมนุษย์

วัตถุประสงค์: งานวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อตรวจสอบฤทธิ์ต้านมะเร็งของสารสกัดจากเห็ด Phellinus igniarius ต่อเซลล์มะเร็งปอดของมนุษย์

วิธีการ: ได้ทำการทดสอบ in vitro โดยใช้สารสกัดจากเห็ด Phellinus igniarius กับเซลล์มะเร็งปอดของมนุษย์ สองสายพันธุ์ คือ A549 และ NCI-H460 ประเมินผลของสารสกัดต่อ

* การเจริญเติบโตของเซลล์มะเร็ง
* การตายของเซลล์ (apoptosis)
* วัฏจักรของเซลล์

ผลการศึกษา:

ผลการศึกษาพบว่า สารสกัดจากเห็ด Phellinus igniarius สามารถยับยั้งการเจริญเติบโตของเซลล์มะเร็งปอดทั้งสองสายพันธุ์ โดยขึ้นอยู่กับขนาดของยา กลไกการออกฤทธิ์ อาจเกี่ยวข้องกับการเหนี่ยวนำให้เซลล์มะเร็งตาย (apoptosis) และการยับยั้งวัฏจักรของเซลล์

สรุป: งานวิจัยนี้บ่งชี้ว่า สารสกัดจากเห็ด Phellinus igniarius มีศักยภาพในการเป็นสารต้านมะเร็งปอด อย่างไรก็ตาม จำเป็นต้องศึกษาเพิ่มเติม เพื่อยืนยันประสิทธิภาพ และความปลอดภัย ก่อนนำไปใช้ในมนุษย์

หมายเหตุ:
แปลจากบทคัดย่อภาษาอังกฤษ ซึ่งมักจะมีเนื้อหาสรุป
หากต้องการรายละเอียดเชิงลึก แนะนำให้อ่านบทความฉบับเต็ม


................................

วิธีการใช้เห็ดซางหวงแบบจีนกัน

 มาเจาะลึกวิธีการใช้เห็ดซางหวงแบบจีนกัน ซึ่งมีหลากหลายวิธี ขึ้นอยู่กับวัตถุประสงค์ และความสะดวก

1. ซางหวงต้มน้ำดื่ม (แบบดั้งเดิม):
  • วิธีทำ: นำเห็ดซางหวงแห้ง ประมาณ 10-15 กรัม ล้างน้ำให้สะอาด ต้มกับน้ำประมาณ 3-4 ลิตร จนเดือด หรี่ไฟตุ๋นต่ออีก 1-2 ชั่วโมง
  • รสชาติ: น้ำซุปจะมีรสชาติขมเล็กน้อย
  • วิธีดื่ม: สามารถดื่มอุ่นๆ วันละ 2-3 ครั้ง
.
2. ซางหวงแบบผง:

  • วิธีทำ: บดเห็ดซางหวงแห้ง ให้เป็นผงละเอียด
  • วิธีรับประทาน: ผสมผงซางหวง กับน้ำอุ่น น้ำผึ้ง หรืออาหาร เช่น ซุป โจ๊ก
  • ข้อดี: สะดวก พกพาง่าย

3. ซางหวงแบบแคปซูล/ยาเม็ด:

  • หาซื้อได้ตาม: ร้านขายยาจีน
  • ข้อดี: สะดวก รับประทานง่าย ไม่มีรสขม
  • ข้อควรระวัง: เลือกร้านค้าที่น่าเชื่อถือ ตรวจสอบวันหมดอายุ
.
4. ซางหวงในรูปแบบอื่นๆ:

  • ชาซางหวง: มักผสมสมุนไพรชนิดอื่นๆ เพื่อเพิ่มรสชาติ และสรรพคุณ
  • ซุปไก่ตุ๋นซางหวง: เป็นเมนูอาหารบำรุงร่างกาย

ข้อควรระวัง:

  • ปริมาณที่เหมาะสม: ควรเริ่มต้นจากปริมาณน้อยๆ และสังเกตอาการ
  • การแพ้: หากมีอาการแพ้ เช่น ผื่นคัน หายใจลำบาก ควรหยุดใช้ทันที
  • ปฏิกิริยากับยา: ควรแจ้งแพทย์ หากกำลังใช้ยาอื่นๆ ร่วมด้วย

คำแนะนำ:

ปรึกษาแพทย์แผนจีน: เพื่อขอคำแนะนำ เกี่ยวกับวิธีใช้ และปริมาณที่เหมาะสม
เลือกซื้อจากแหล่งที่น่าเชื่อถือ: เพื่อให้มั่นใจในคุณภาพ และความปลอดภัย



............................................

ตำรายาจีน มีบันทึกการใช้เห็ดซางหวง (Phellinus igniarius) เป็นยามาอย่างยาวนาน

  ตำรายาจีน มีบันทึกการใช้เห็ดซางหวง (Phellinus igniarius) เป็นยามาอย่างยาวนาน

ตัวอย่างตำรายาจีนที่กล่าวถึงสรรพคุณของซางหวง:

เสินหนงเปิ่นเฉ่าจิง (Shen Nong Ben Cao Jing):

  • ตำราสมุนไพรจีนที่เก่าแก่ที่สุด เขียนขึ้นราวศตวรรษที่ 2
  • บรรยายว่า ซางหวงมีรสขม มีฤทธิ์เป็นกลาง ช่วยบำรุง "ฉี" (พลังชีวิต) บำรุงเลือด และยืดอายุ
  • เปิ่นเฉ่ากังมู่ (Ben Cao Gang Mu):
ตำราสมุนไพรที่โด่งดังที่สุดของจีน รวบรวมโดย หลี่สือเจิน ในศตวรรษที่ 16
  • บรรยายถึงประโยชน์ของซางหวง ในการรักษาโรคต่างๆ เช่น โรคเกี่ยวข้องกับระบบย่อยอาหาร โรคตับ
ตำราอื่นๆ:
  • มีตำรายาจีนอีกหลายเล่ม ที่กล่าวถึงซางหวง เช่น "Yao Xing Ben Cao" และ "Zhong Hua Ben Cao"
ประเด็นที่น่าสนใจ:

การใช้ซางหวง สอดคล้องกับแนวคิดแพทย์แผนจีน: เช่น การปรับสมดุล หยิน-หยาง การบำรุง "ฉี" (พลังชีวิต)

ความรู้ที่ตกทอดมา เป็นแรงบันดาลใจให้กับงานวิจัยยุคใหม่: ปัจจุบันมีการศึกษา สารออกฤทธิ์ และ สรรพคุณของซางหวง ในระดับห้องปฏิบัติการ เพื่อยืนยันภูมิปัญญา และต่อยอดการประยุกต์ใช้

แม้ตำรายาโบราณ จะมีคุณค่า แต่การใช้สมุนไพร ควรอยู่ภายใต้การดูแลของแพทย์แผนจีนที่เชี่ยวชาญ และไม่ควรมองว่า เป็นทางเลือกทดแทนการรักษาแผนปัจจุบัน
😊












.

"ซางหวง" หรือเห็ด Phellinus igniarius

"ซางหวง" หรือเห็ด Phellinus igniarius ยังคงได้รับความนิยม และมีบทบาทสำคัญในการแพทย์แผนจีน ทั้งในอดีตและปัจจุบัน

อดีต:

หลักฐานทางประวัติศาสตร์: มีบันทึกการใช้ซางหวงในตำราแพทย์แผนจีน ย้อนไปกว่า 2,000 ปี เช่น "Shen Nong Ben Cao Jing" ซึ่งเป็นตำราสมุนไพรที่เก่าแก่ที่สุดของจีน
ความเชื่อดั้งเดิม: แพทย์แผนจีนเชื่อว่า ซางหวงมีรสขม มีฤทธิ์เย็น ออกฤทธิ์ต่อเส้นลมปราณของตับ ม้าม และหัวใจ ช่วยปรับสมดุล หยิน-หยาง บำรุงร่างกาย
การรักษาโรค: ในอดีต ซางหวงถูกใช้รักษาโรคต่างๆ เช่น โรคระบบทางเดินอาหาร โรคตับ โรคผิวหนัง

ปัจจุบัน:
ยังคงได้รับความนิยม: ซางหวง ยังคงเป็นสมุนไพรยอดนิยม หาซื้อได้ทั่วไปในร้านขายยาจีน และมีจำหน่ายในรูปแบบต่างๆ เช่น แบบแห้ง แบบแคปซูล
งานวิจัยทางวิทยาศาสตร์: ความก้าวหน้าทางวิทยาศาสตร์ ทำให้นักวิจัยสามารถสกัด แยก และระบุ สารออกฤทธิ์ ในซางหวงได้

การประยุกต์ใช้:
เสริมภูมิคุ้มกัน: สาร Polysaccharide ในซางหวง มีส่วนช่วยกระตุ้นระบบภูมิคุ้มกัน
บำบัดโรคมะเร็ง: มีงานวิจัยที่แสดงให้เห็นว่า สารสกัดจากซางหวง มีฤทธิ์ต้านเซลล์มะเร็งบางชนิด
โรคเรื้อรัง: แพทย์แผนจีน บางท่านอาจแนะนำให้ใช้ซางหวง ร่วมกับการรักษาแผนปัจจุบัน ในโรคเบาหวาน ความดันโลหิตสูง

ข้อควรระวัง:
การใช้ซางหวง ควรอยู่ภายใต้การดูแลของแพทย์แผนจีนที่เชี่ยวชาญ
ไม่ควรรับประทาน หากตั้งครรภ์ ให้นมบุตร หรือมีโรคประจำตัว

จะเห็นได้ว่า ซางหวง เป็นสมุนไพรที่มีประวัติยาวนาน และยังคงได้รับความนิยมจนถึงปัจจุบัน แม้จะมีงานวิจัยทางวิทยาศาสตร์ แต่ก็ควรใช้อย่างระมัดระวัง และปรึกษาแพทย์ผู้เชี่ยวชาญยังคงได้รับความนิยม และมีบทบาทสำคัญในการแพทย์แผนจีน ทั้งในอดีตและปัจจุบัน


อดีต:

หลักฐานทางประวัติศาสตร์: มีบันทึกการใช้ซางหวงในตำราแพทย์แผนจีน ย้อนไปกว่า 2,000 ปี เช่น "Shen Nong Ben Cao Jing" ซึ่งเป็นตำราสมุนไพรที่เก่าแก่ที่สุดของจีน
ความเชื่อดั้งเดิม: แพทย์แผนจีนเชื่อว่า ซางหวงมีรสขม มีฤทธิ์เย็น ออกฤทธิ์ต่อเส้นลมปราณของตับ ม้าม และหัวใจ ช่วยปรับสมดุล หยิน-หยาง บำรุงร่างกาย
การรักษาโรค: ในอดีต ซางหวงถูกใช้รักษาโรคต่างๆ เช่น โรคระบบทางเดินอาหาร โรคตับ โรคผิวหนัง

ปัจจุบัน:
ยังคงได้รับความนิยม: ซางหวง ยังคงเป็นสมุนไพรยอดนิยม หาซื้อได้ทั่วไปในร้านขายยาจีน และมีจำหน่ายในรูปแบบต่างๆ เช่น แบบแห้ง แบบแคปซูล
งานวิจัยทางวิทยาศาสตร์: ความก้าวหน้าทางวิทยาศาสตร์ ทำให้นักวิจัยสามารถสกัด แยก และระบุ สารออกฤทธิ์ ในซางหวงได้

การประยุกต์ใช้:
เสริมภูมิคุ้มกัน: สาร Polysaccharide ในซางหวง มีส่วนช่วยกระตุ้นระบบภูมิคุ้มกัน
บำบัดโรคมะเร็ง: มีงานวิจัยที่แสดงให้เห็นว่า สารสกัดจากซางหวง มีฤทธิ์ต้านเซลล์มะเร็งบางชนิด
โรคเรื้อรัง: แพทย์แผนจีน บางท่านอาจแนะนำให้ใช้ซางหวง ร่วมกับการรักษาแผนปัจจุบัน ในโรคเบาหวาน ความดันโลหิตสูง

ข้อควรระวัง:
การใช้ซางหวง ควรอยู่ภายใต้การดูแลของแพทย์แผนจีนที่เชี่ยวชาญ
ไม่ควรรับประทาน หากตั้งครรภ์ ให้นมบุตร หรือมีโรคประจำตัว

จะเห็นได้ว่า ซางหวง เป็นสมุนไพรที่มีประวัติยาวนาน และยังคงได้รับความนิยมจนถึงปัจจุบัน แม้จะมีงานวิจัยทางวิทยาศาสตร์ แต่ก็ควรใช้อย่างระมัดระวัง และปรึกษาแพทย์ผู้เชี่ยวชาญ





.....................


ข้อมูลเกี่ยวกับเห็ด Phellinus igniarius ในวัฒนธรรมจีน ญี่ปุ่น และเกาหลี

 เรื่องเล่า ตำนาน และความเชื่อเกี่ยวกับเห็ดในวัฒนธรรมต่างๆ เป็นสิ่งที่น่าติดตาม รวบรวมข้อมูลเกี่ยวกับเห็ด Phellinus igniarius ในวัฒนธรรมจีน ญี่ปุ่น และเกาหลี มาเล่าให้ฟัง

จีน:

ชื่อเรียก: เห็ดชนิดนี้เป็นที่รู้จักในชื่อ "ซางหวง" (桑黄) แปลว่า "สีเหลืองที่ขึ้นบนต้นหม่อน"

การแพทย์แผนจีน: ซางหวงถูกจัดเป็นสมุนไพรล้ำค่า เชื่อว่ามีฤทธิ์บำรุงร่างกาย เสริมภูมิคุ้มกัน ต้านมะเร็ง และยืดอายุ
เรื่องเล่า: ตำนานเล่าขานถึงจักรพรรดิองค์หนึ่ง ทรงพระประชวรหนัก หมอหลวงรักษาไม่ได้ จนกระทั่งมีฤาษีนำเห็ดซางหวงมาถวาย เมื่อทรงเสวยแล้ว อาการประชวรก็หายเป็นปลิดทิ้ง

ญี่ปุ่น:

ชื่อเรียก: "เมชิตาเกะ" (Meshimakobu) แปลว่า "เห็ดที่มีลักษณะคล้ายตาข่าย"

วัฒนธรรม: เห็ดชนิดนี้ถูกนำมาใช้เป็นยาพื้นบ้านมานานหลายศตวรรษ เชื่อว่าช่วยเสริมสุขภาพ และป้องกันโรคภัยไข้เจ็บ
การใช้งาน: มักนำมาต้มเป็นชา หรือบดเป็นผง เพื่อรับประทานเป็นยา

เกาหลี:

ชื่อเรียก: "ซังกวาง" (Sangwhang)

ความเชื่อ: เห็ดชนิดนี้เป็นสัญลักษณ์ของความโชคดี และมีพลังในการขจัดปัดเป่าสิ่งชั่วร้าย
การใช้งาน: นำมาต้มเป็นชา หรือใช้เป็นส่วนผสมในอาหาร เช่น ซุป และแกง

ข้อสังเกต:

เรื่องเล่า ตำนาน และความเชื่อ เป็นส่วนหนึ่งของวัฒนธรรม อาจไม่มีหลักฐานทางวิทยาศาสตร์รองรับ
การใช้สมุนไพร ควรอยู่ภายใต้การดูแลของแพทย์ หรือผู้เชี่ยวชาญ




........................

เห็ดกระถินพิมาน (Phellinus igniarius)

 เห็ดกระถินพิมาน (Phellinus igniarius)

1. ลักษณะทั่วไป:
  • รูปร่าง: เห็ดชนิดนี้มีลักษณะเป็นก้อนแข็ง คล้ายกีบม้า หรือจาน ยึดเกาะกับต้นไม้อย่างแข็งแรง
  • สีสัน: ผิวด้านบนมักมีสีเทาเข้ม น้ำตาลเข้ม หรือดำ ส่วนผิวด้านล่างที่เป็นรู จะมีสีน้ำตาลแดง
  • ขนาด: แตกต่างกันไปตามอายุ และสภาพแวดล้อม อาจมีขนาดตั้งแต่ 5-30 เซนติเมตร
  • แหล่งที่พบ: มักพบเจริญเติบโตบนต้นไม้เนื้อแข็ง เช่น ต้นโอ๊ค ต้นเบิร์ช ต้นเมเปิ้ล
  • วงจรชีวิต: เป็นเห็ดที่อาศัยบนต้นไม้ที่ยังมีชีวิต และย่อยสลายเนื้อไม้ ทำให้เกิดอาการเน่า

2. สรรพคุณทางยา:

  • เห็ดชนิดนี้ถูกนำมาใช้เป็นยาสมุนไพร ในหลายวัฒนธรรม เช่น จีน ญี่ปุ่น เกาหลี
  • สารออกฤทธิ์สำคัญ:
  • Polysaccharides: สารกลุ่มนี้ เช่น beta-glucans มีฤทธิ์กระตุ้นภูมิคุ้มกัน ต้านมะเร็ง
  • Triterpenoids: มีฤทธิ์ต้านการอักเสบ ต้านมะเร็ง
  • Polyphenols: เป็นสารต้านอนุมูลอิสระ

งานวิจัยทางวิทยาศาสตร์:

  • ฤทธิ์ต้านมะเร็ง: งานวิจัยในหลอดทดลองและสัตว์ทดลองพบว่า สารสกัดจากเห็ดชนิดนี้ มีฤทธิ์ต้านการเจริญเติบโตของเซลล์มะเร็งได้หลายชนิด เช่น มะเร็งเต้านม มะเร็งปอด
  • ฤทธิ์ต้านอนุมูลอิสระ: ช่วยปกป้องเซลล์จากความเสียหายจากอนุมูลอิสระ
  • ฤทธิ์ต้านการอักเสบ: ช่วยลดการอักเสบในร่างกาย
  • ฤทธิ์กระตุ้นภูมิคุ้มกัน: เสริมสร้างระบบภูมิคุ้มกัน
  • ฤทธิ์อื่นๆ: เช่น ฤทธิ์ลดระดับน้ำตาลในเลือด ฤทธิ์ป้องกันตับ
  • ข้อควรระวัง: แม้จะมีงานวิจัยสนับสนุน แต่ยังจำเป็นต้องศึกษาวิจัยเพิ่มเติม เพื่อยืนยันประสิทธิภาพ และความปลอดภัยในการใช้เป็นยารักษาโรคในมนุษย์

3. การเพาะเลี้ยง:

  • เห็ดชนิดนี้สามารถเพาะเลี้ยงได้ แต่ค่อนข้างยาก และใช้เวลานาน
  • มีการศึกษาวิจัยเพื่อพัฒนาเทคนิคการเพาะเลี้ยง เช่น การเพาะเลี้ยงแบบกึ่งธรรมชาติ การเพาะเลี้ยงเนื้อเยื่อ

4. ข้อมูลอื่นๆ:

  • การนำไปใช้: นอกจากการใช้เป็นยา เห็ดยังถูกนำไปใช้ทำชา สีย้อม และเป็นส่วนผสมในผลิตภัณฑ์ต่างๆ
  • สถานะการอนุรักษ์: เห็ดชนิดนี้ไม่จัดอยู่ในกลุ่มที่ใกล้สูญพันธุ์ แต่ในบางพื้นที่ อาจพบได้น้อยลงเนื่องจากการตัดไม้ทำลายป่า

หมายเหตุ:

  • ข้อมูลที่ให้เป็นเพียงความรู้ทั่วไป ไม่สามารถใช้แทนคำแนะนำจากแพทย์หรือผู้เชี่ยวชาญได้
  • ควรปรึกษาแพทย์ ก่อนใช้สมุนไพร หรือผลิตภัณฑ์เสริมอาหาร ทุกชนิด



..................................................


การค้นคว้างานวิจัยเกี่ยวกับฤทธิ์ต้านอนุมูลอิสระของเห็ดกระถินพิมาน

การค้นคว้างานวิจัยเกี่ยวกับฤทธิ์ต้านอนุมูลอิสระของเห็ดกระถินพิมานเป็นภาษาไทย และต้องการคำแนะนำในการค้นหาข้อมูลเพิ่มเติม

คำค้นหาที่แนะนำ (ภาษาไทย):
"เห็ดกระถินพิมาน" AND "ฤทธิ์ต้านอนุมูลอิสระ"
"เห็ดกระถินพิมาน" AND "สารต้านอนุมูลอิสระ"
"สารสกัดเห็ดกระถินพิมาน" AND "อนุมูลอิสระ"
"เห็ดกระถินพิมาน" AND "ความเครียดออกซิเดชัน" (oxidative stress)

แหล่งข้อมูลที่แนะนำ:

ฐานข้อมูลวิทยานิพนธ์ไทย (ThaiLis):

https://www.thalis.or.th/
รวบรวมวิทยานิพนธ์ งานวิจัย และบทความวิชาการภาษาไทย
ฐานข้อมูล TCI (Thai Citation Index):
https://tci-thaijo.org/index.php/TCI
ฐานข้อมูลบทความวิจัยภาษาไทย
วารสารวิชาการต่างๆ:

ลองค้นหาในวารสารวิชาการที่เกี่ยวข้องกับ วิทยาศาสตร์การแพทย์ เภสัชศาสตร์ วิทยาศาสตร์ชีวภาพ

ตัวอย่างเช่น วารสารวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี วารสารเภสัชศาสตร์ เป็นต้น

Google Scholar:

https://scholar.google.com/
สามารถจำกัดผลลัพธ์ให้แสดงเฉพาะภาษาไทยได้

ข้อแนะนำเพิ่มเติม:

ติดต่อห้องสมุด: ห้องสมุดของมหาวิทยาลัย หรือสถาบันวิจัย มักจะมีฐานข้อมูลงานวิจัยที่ครอบคลุม และเจ้าหน้าที่ให้คำแนะนำ
ติดต่อผู้เชี่ยวชาญ: อาจารย์ นักวิจัย ในสาขาที่เกี่ยวข้อง เช่น จุลชีววิทยา เทคโนโลยีชีวภาพ เภสัชศาสตร์

หมายเหตุ:
งานวิจัยภาษาไทยอาจมีจำนวนจำกัด เทียบกับงานวิจัยภาษาอังกฤษ
ควรตรวจสอบความน่าเชื่อถือของแหล่งข้อมูล



...................................................

PubMed คืออะไร

 PubMed คืออะไร

  • PubMed คือ ฐานข้อมูลงานวิจัยทางการแพทย์ที่ให้บริการฟรี พัฒนาโดย National Center for Biotechnology Information (NCBI) ซึ่งเป็นหน่วยงานหนึ่งของ National Institutes of Health (NIH) ประเทศสหรัฐอเมริกา
.
PubMed มีอะไรบ้าง

  • บทคัดย่อและบทความวิจัย: มีบทคัดย่อของบทความวิจัยทางการแพทย์ และวิทยาศาสตร์ชีวภาพ กว่า 30 ล้านเรื่อง จากวารสารหลายพันฉบับทั่วโลก
  • ลิงก์ไปยังบทความฉบับเต็ม: หลายบทความใน PubMed มีลิงก์ไปยังบทความฉบับเต็ม ซึ่งอาจต้องเสียค่าใช้จ่าย หรือเข้าถึงได้ฟรี
.
เครื่องมือค้นหา: มีเครื่องมือค้นหาขั้นสูง ช่วยให้คุณค้นหาข้อมูลที่ต้องการได้อย่างรวดเร็ว

ข้อมูลอื่นๆ: นอกจากบทความวิจัยแล้ว PubMed ยังมีข้อมูลอื่นๆ เช่น หนังสือ บท และรายงาน

วิธีใช้ PubMed

  • เข้าเว็บไซต์ PubMed: https://pubmed.ncbi.nlm.nih.gov/
  • พิมพ์คำค้นหา: ในช่องค้นหา เช่น ชื่อโรค ชื่อยา ชื่อผู้แต่ง
  • กดปุ่ม "Search":
  • เลือกผลลัพธ์ที่ต้องการ:
  • อ่านบทคัดย่อ: เพื่อดูเนื้อหาคร่าวๆ ของบทความ
  • คลิกลิงก์เพื่ออ่านบทความฉบับเต็ม:

เคล็ดลับการใช้ PubMed

  • ใช้คำค้นหาที่ชัดเจน:
  • ใช้เครื่องหมายคำพูด ("") เพื่อค้นหาวลีที่ตรงกัน
  • ใช้ตัวดำเนินการบูลีน (AND, OR, NOT): เพื่อจำกัดผลลัพธ์การค้นหา
  • ใช้ฟิลเตอร์: เพื่อจำกัดผลลัพธ์การค้นหา เช่น วันที่ตีพิมพ์ ภาษา ชนิดของบทความ



.
.

งานวิจัยเกี่ยวกับเห็ดกระถินพิมาน (Phellinus igniarius) จากทั่วโลก

 งานวิจัยเกี่ยวกับเห็ดกระถินพิมาน (Phellinus igniarius) จากทั่วโลก

งานวิจัยเกี่ยวกับเห็ด Phellinus igniarius จากทั่วโลก
เห็ดชนิดนี้เป็นที่สนใจของนักวิจัยทั่วโลก เนื่องจากมีศักยภาพในการเป็นแหล่งของสารออกฤทธิ์ทางชีวภาพ งานวิจัยครอบคลุมหลายด้าน เช่น

1. ฤทธิ์ทางชีวภาพ:

ฤทธิ์ต้านอนุมูลอิสระ: งานวิจัยจำนวนมากยืนยันว่าสารสกัดจาก Phellinus igniarius มีฤทธิ์ต้านอนุมูลอิสระสูง ช่วยลดความเสียหายจากอนุมูลอิสระในร่างกาย
ฤทธิ์ต้านมะเร็ง: มีงานวิจัยในหลอดทดลอง และสัตว์ทดลอง พบว่าสารสกัดบางชนิดจากเห็ดชนิดนี้มีฤทธิ์ต้านการเจริญเติบโตของเซลล์มะเร็งได้หลากหลายชนิด
ฤทธิ์ต้านการอักเสบ: งานวิจัยบางชิ้นพบว่าสารสกัดจากเห็ดชนิดนี้ ช่วยลดการอักเสบได้
ฤทธิ์กระตุ้นภูมิคุ้มกัน: มีงานวิจัยชี้ให้เห็นว่า สารสกัดจาก Phellinus igniarius อาจช่วยกระตุ้นระบบภูมิคุ้มกันได้
ฤทธิ์อื่นๆ: เช่น ฤทธิ์ลดระดับน้ำตาลในเลือด ฤทธิ์ป้องกันตับ

2. สารออกฤทธิ์:

นักวิจัยได้สกัดและระบุสารออกฤทธิ์สำคัญจาก Phellinus igniarius หลายชนิด เช่น polysaccharides, triterpenoids, polyphenols

3. การเพาะเลี้ยง:

มีงานวิจัยเกี่ยวกับการพัฒนาเทคนิคการเพาะเลี้ยง Phellinus igniarius เพื่อให้ได้ผลผลิตสูง และมีคุณภาพ

แหล่งข้อมูลงานวิจัย:

คุณสามารถค้นหางานวิจัยเกี่ยวกับ Phellinus igniarius ได้จากฐานข้อมูลงานวิจัยนานาชาติ เช่น:
PubMed: https://pubmed.ncbi.nlm.nih.gov/
ScienceDirect: https://www.sciencedirect.com/
Google Scholar: https://scholar.google.com/

คำแนะนำ:
ใช้คำค้นหาที่หลากหลาย เช่น "Phellinus igniarius", "Phellinus igniarius medicinal properties", "Phellinus igniarius anticancer"
อ่านบทคัดย่อ (abstract) เพื่อดูเนื้อหาคร่าวๆ ก่อนตัดสินใจอ่านงานวิจัยฉบับเต็ม





....................................